
เสียงเพลงคือสิ่งที่คู่กับกีฬาฟุตบอลมาตลอด โดยเฉพาะทัวร์นาเมนต์ระดับชาติ ยกตัวอย่าง เช่น ฟุตบอลโลก ที่การแข่งขันในหลายปี ก่อให้เกิดเพลงอันเป็นที่จดจำของผู้คน
ไม่ว่าจะเป็น To Be Number One จากฟุตบอลโลก 1990, The Cup of Life และ Carnaval De Paris จากฟุตบอลโลก 1998, Waka Waka และ Wavin’ Flag จากฟุตบอลโลก 2010 มาจนถึง Live It Up ในฟุตบอลโลก 2018 ครั้งล่าสุด
ไม่ใช่แค่ฟุตบอลโลกเพียงทัวร์นาเมนต์เดียว ที่สร้างบทเพลงให้โลกฟุตบอลได้จดจำ แต่รวมถึงการแข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือฟุตบอลยูโร ก็มีบทบรรเลงงานคุณภาพ อยู่ในของผู้คนเช่นกัน
Campione 2000 คือเพลงที่เป็นเหมือนความภูมิใจของฟุตบอลทั่วโลก เพราะได้รับความนิยมไปทั่วโลก และยังคงมีการเปิดอยู่บ่อยครั้งในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อว่าแฟนบอลไทยที่มีอายุสักหน่อย คงคุ้นเคยกันดี กับท่อนร้องที่ว่า “แคมปิโอเน่ แคมปิโอเน่ โอเล โอเล โอ้เลลลลลลลลลลลลลลล”
บทเพลงนี้ถูกใช้เป็นเพลงประกอบอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเบลเยียม เป็นเจ้าภาพ ซึ่งมีการคิดค้น วางแผนการสร้างสรรค์เพลงประจำทัวร์นาเมนต์ มาเป็นอย่างดี
ย้อนไปในปี 1998 ความสำเร็จของเพลง The Cup of Life ที่ถูกขับร้องโดย ริคกี้ มาร์ติน เปลี่ยนมุมมองที่ผู้คนมีต่อเพลงประจำทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลไปอย่างสินเชิง
จากที่ก่อนหน้านี้ เพลงประกอบส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นร็อค เพื่อสะท้อนความดุเดือดของการแข่งขัน ชิงชัยเพื่อถ้วยแชมป์ … ฟุตบอลโลก 1998 ใช้เพลงประกอบหลักของการแข่งขันทั้งหมด เป็นเพลงแดนซ์ เพื่อสะท้อนถึงความสนุกสนาม บ่งบอกว่าทุกคนสามารถมีความสุข กับทัวร์นาเมนต์กีฬาระดับโลกได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นแฟนกีฬา
ฝ่ายจัดฟุตบอลยูโร 2000 จึงต่อยอดจากตรงนั้น โดยปรับเปลี่ยนในแง่ของแนวเพลง จากแดนซ์สนุก ๆ สไตล์ลาติน หันเป็นยูโรแดนซ์ ซึ่งซาวด์มีความทันสมัยมากขึ้น และเชื่อมโยงกับคนยุโรปได้มากกว่า
Campione 2000 คือบทเพลงที่ถูกรังสรรค์ออกมา ด้วยดนตรีที่มีความสนุก สามารถกระโดดตามได้โดยง่าย ขณะเดียวกันก็มีท่อนฮุคที่ติดหู รวมถึงมีความหมายที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ การก้าวถึง ทีมฟุตบอลที่จะฝ่าทุกด่านการแข่งขัน เข้าไปเป็นแชมป์เพียงหนึ่งเดียวของรายการ
หลังจากปล่อยเพลงออกไปได้ไม่กี่วัน Campione 2000 กลายเป็นเพลงฮิตไปทั่วยุโรปทันที ขึ้นชาร์ตวิทยุ ในหลายประเทศ ทั้ง เนเธอร์แลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, เบลเยียม, นอร์เวย์, สวีเดน, สหราชอาณาจักร เป็นต้น
เหตุผลที่เพลงนี้ได้นิยมอย่างรวดเร็ว เพราะแนวดนตรีแดนซ์กำลังเป็นเทรนด์ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากศตวรรษที่ 20 สู่ 21 และความจริงที่ต้องยอมรับคือ Campione 2000 เป็นงานดนตรีระดับมาสเตอร์พีซ ทั้งท่อนฮุคที่ติดหู บีตที่จับจังหวะได้ง่าย เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่เข้าถึงคนได้ทุกกลุ่ม ฟังสัก 2-3 รอบ ก็สามารถร้องตามกันได้ทุกคน
ตลอดทัวร์นาเมนต์ยูโรครั้งนั้น คือกระแสฟีเวอร์ Campione 2000 ไปโดยปริยาย แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่า คือผ่านมาได้ 21 ปี เพลงนี้ยังถูกเปิดบ่อยครั้งในสนามฟุตบอล รวมถึงเป็นที่ชื่นชอบของแฟนบอลมาตลอด
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เป็นเช่นนั้น เพราะ Bleacher Report สื่อกีฬาชื่อดัง ยกให้ Campione 2000 เป็น 1 ใน 10 บทเพลงที่ยอดเยี่ยมตลอดกาลของโลกฟุตบอล เนื่องด้วยความหมายที่ยอดเยี่ยม สามารถเชื่อมโยงได้กับทุกทีมบนโลก จึงทำให้เป็นได้ทั้งเพลงปลุกใจ ให้นักเตะร่วมสู้เพื่อคว้าแชมป์ หรือจะเปิดตอนรับโทรฟี่ ก็เข้ากันเป็นอย่างมาก ไม่แพ้ We Are The Champions ของวง Queen เลยทีเดียว
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้ Campione 2000 ยังคงเป็นที่รักของแฟนบอลจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ ท่อนฮุคอย่าง “แคมปิโอเน่ แคมปิโอเน่ โอเล โอเล โอ้เลลลลลลลลลลลลลลล” สามารถเป็นเพลงเชียร์ของแฟนบอล หรือการร้องตะโกนเฉลิมฉลองร่วมกันระหว่างนักเตะ และเหล่ากองเชียร์ ในการฉลองแชมป์ได้อย่างยอดเยี่ยม
แม้กระทั่งการคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ฤดูกาล 2020-21 ของ เชลซี แฟนบอลสิงโตน้ำเงินครามยังใช้เพลงนี้ร้องฉลองหลังคว้าแชมป์อยู่เลย
นักเตะ ลิเวอร์พูล ก็ร้องเพลงนี้ในห้องแต่งตัวแบบเสียงดังฟังชัด หลังจากได้แชมป์ยุโรป ในฤดูกาล 2018-19 รวมถึงแชมป์ในปีถัดมา อย่าง บาเยิร์น มิวนิค ก็ไม่พลาดที่จะฉลองกันด้วยบทเพลงนี้ หลังคว้าแชมป์ยุโรป สมัยที่ 6 ของสโมสร
Campione 2000 จึงเป็นเพลงที่สมบูรณ์แบบ ทั้งในแง่ของความไพเราะ ไปจนถึงความหมายที่เข้ากับเกมลูกหนังได้อย่างยอดเยี่ยม จึงทำให้บทเพลงนี้คืองานอมตะ ซึ่งเชื่อได้เลยว่า ในการแข่งขันยูโร 2020 เราจะได้ยินเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ถูกเปิดตลอดทัวร์นาเมนต์ และเด่นชัดที่สุดในเกมรอบชิงชนะเลิศ หลังได้แชมเปียนส์แห่งยูโรปทีมใหม่ล่าสุด